Dekaron Online


เทคนิคการเล่น (tecnic) เควส (quest) สกิล (skill) การอัพสกิล (up skills) มอสเตอร์ (monster) ไอเทม (item) ดันเจี้ยน (dungent) การใช้เมนู (menu) การเล่นเบื้องต้น videoการเล่นdekaron ของอาชีพทั้ง 6 คือ Azure Knight , Bagi Warrior, Incar Magician , Segita Hunter , Segnale , Vicious Summoner

This Site (Weblog) Dekaron online have tecnic, quest , skill, howto upskill , Detail monster , Item , Dungent , howto use menu , basic to play , video dekaron and all

2Moons is a free MMORPG video game published by Acclaim under the direction of David Perry. The game is an adaptation of Korean MMORPG Dekaron by GameHi for the North American market, featuring a new story line. Closed beta testing ended March 7th, 2007. The open beta testing phase, which began July 30th, 2007, has experienced several delays. Previously, a commercial launch was planned for the summer of 2007, but due to the open beta delay, Acclaim has been unable to give an official launch date for the game. As stated by David Perry, Acclaim is "the new kid on the block" in the MMORPG market, and they have had many issues to fix while preparing for the open beta launch of the title.

MainMenu
Home ข่าวDekaron
Skills
Quest
เทคนิค

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ข้อมูลการเล่นSegnale สาย Heal

เจาะลึก Segnale สาย Heal สุดยอด Supporter มือหนึ่งที่ครบเครื่องในตัวเดียว

อย่างที่เราทราบกันดีว่า Segnale นั้น เป็นอาชีพที่เป็นได้ทั้งสายซัพพอร์ทและสายต่อสู้ โดยที่เราสามารถที่จะเลือกเล่นเป็นได้ทั้งสายสู้เต็มตัว หรือซัพพอร์ทเต็มตัว หรือว่าจะเล่นแบบสายผสมก็ยังสามารถทำได้ ดังนั้น Segnale จึงเป็นอาชีพที่ถือว่ามีความยืดหยุ่ดสูงมาก และยังมีรูปแบบการเล่นที่หลากหลายมากที่สุดเลยด้วย

และในวันนี้ผมก็จะมาพูดถึง Segnale สายที่เป็นแกนหลักของปาร์ตี้ นั่นคือสาย Heal & Curese ซึ่งจุดเด่นของสายนี้คือ ความสามารถในการสนับสนุนปาร์ตี้แบบเต็มรูปแบบ และ ความสามารถในการใช้สกิลก่อกวนศัตรู ทั้ง จับยึด ลดพลัง ฯลฯ ซึ่งมันจะเป็นเรื่องที่ยากมาก หากเราจะไปลุยดันเจี้ยนเลเวลสูงๆ หรือไปล่าบอสโหดๆ โดยไม่มี Segnale HC คอยช่วยซัพพอร์ทอยู่ด้านหลัง

หลักการอัพสเตตัส

การอัพสเตตัสของ Segnale HC นั้นจะแบ่งออกเป็น 2 สายหลักๆ ได้ดังนี้

Normal Mode
สำหรับสาย Heal & Curse หลักการอัพสเตตัสจะง่ายมากๆ แค่อัพ Dex และ Spr ให้ใส่อาวุธได้ และลง Heal รัวๆ เพื่อให้ตัวละครเรานั้นอึดถึกทนและตายยาก และถ้าเราอัพ Dex และ Spr ให้สามารถใส่อาวุธได้ละก็ Segnale สายนี้ก็จะสามารถเก็บเลเวลคนเดียวได้ ถึงแม้พลังโจมตีจะน้อย แต่ก็อาศัยผลพิเศษจากสกิลบัฟและคำสาปช่วยเสริมพลังในการต่อสู้ได้ ( อาวุธเลเวล 105 จะใช้ สเตตัส Dex 181 และ Spr 97 )

Full Buff
สำหรับสายนี้ไม่ต้องคิดอะไรให้วุ่นวาย พ้อยมีเท่าไหร่อัพ Healกับ Spr ไปในอัตราส่วน 4:1 จนถึงเลเวล 100 จากนั้นค่อยลง Heal ล้วน ( อัพ Spr เพื่อให้มี MP มากพอสำหรับใช้สกิลในช่วงหลังๆ เท่านั้น )โดยให้เราใช้อาวุธที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดเป็นอาวุธคู่ชีพ ซึ่ง Segnale สายนี้ จะมีค่าพลังป้องกันและพลังชีวิตที่สูงมากๆ แต่ก็ไม่สามารถที่จะต่อสู้ด้วยตัวเองได้เลย เรียกได้ว่าเป็นสายสนับสนุนปาร์ตี้แบบเต็มรูปแบบเลยทีเดียว ซึ่ง Segnale สายนี้ยังเป็นสายที่ปาร์ตี้ต้องการมากที่สุดอีกด้วย

รูปแบบการเล่น

ในช่วงแรกของการเล่นนั้น การเล่น Segnale BC จะเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะด้วย DMG ที่สุดแสนจะเบาบาง สกิลโจมตีก็ไม่มี จึงทำให้การเก็บเลเวลนั้นค่อนข้างช้า โดยเราอาจจะต้องอดทนเก็บเลเวลกับมอนตัวที่เลเวลใกล้เคียงกับเราหรือเลเวลต่ำกว่าเรา เพื่อที่จะไม่เป็นการเสียเวลามากๆ ในการฆ่ามอนตัวนึง ซึ่งถ้าเราขยันพอ เราก็สามารถที่จะอยู่โยงเก็บเลเวลคนเดียวได้ถึงเลเวล 50 เลยทีเดียว แต่ดันเจี้ยนโหดๆ บางอันก็จะผ่านได้ยากมากๆ เพราะว่า DMG ของตัวเรานั้นมันช่างเบาบางเหลือเกิน - -'

โดยในช่วงนี้ให้เราอัพสกิล Healing Mastery กับWound Healing สลับกันไป จน Wound Healing เต็ม เลเวล 10 และ Healing Mastery เต็มเลเวล 5 ซึ่งทั้ง 2 สกิลนี้จะเต็มก็เมื่อเราเลเวล32 พอดี ( อย่าอัพ Self Heal เด็ดขาด - -' )โดยในตอนนี้ให้เราเก็บ Point ที่เหลือไว้เพื่ออัพสกิลซัพพอร์ทอื่นๆ ในอนาคต ซึ่งตอนนี้เราก็ต้องเลือกแล้วว่า จะอัพสกิล Support แบบเดี่ยวหรือแบบปาร์ตี้ ซึ่งจุดต่างของสกิลซัพพอร์ท 2 แบบนี้ผมจะพูดถึงในช่วงถัดไป

เก็บเองก็ได้ ถึงจะลำบากไปหน่อย ฮีลก็มี บัฟก็ได้ เย้ !!

และตั้งแต่ช่วงเลเวล 29 ขึ้นไป Segnale นั้นจะเริ่มมีบทบาทในปาร์ตี้มากขึ้น เพราะเมื่อเราเลเวล 29 เราก็จะสามารถอัพสกิล Hyper Heal ที่จะเป็นการ Heal เพื่อนๆ ในปาร์ตี้ทั้งหมดในบริเวณ ซึ่งแค่เลเวล 1 ก็ฮีลได้ 1000 นิดๆ แล้ว เพราะฉะนั้น พอเรามี Hyper Heal ปุ๊บ ก็ออกตระเวณหาปาร์ตี้ได้เลย แต่ในช่วงนี้อาจจะหาปาร์ตี้ได้ยากหน่อย เพราะอาชีพอื่นเค้าก็ยังเก็บเลเวลได้ด้วยตัวเองอยู่ T^T

แต่ทั้งนี้การอัพสเตตัส ก็มีส่วนช่วยในการเก็บเลเวลเหมือนกัน เพราะในช่วงแรกๆ หากเราอัพสเตตัสแบบ Dex และ Spr เพียงพอให้ใส่อาวุธได้ และ Point ที่เหลืออัพลง Heal มันก็ยังช่วยให้เราพอเก็บเลเวลได้อยู่ เพราะพลังโจมตีจาก Dex ก็มี อาวุธก็ใส่ได้ แต่ถ้าเราเล่นมาแบบสาย Full Heal การเก็บเลเวลแบบตัวคนเดียวนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่สายนี้จะโดดเด่นมากๆ ในเรื่องความอึด ถึก และ ทน เพราะในการ PVP และ กิลวอร์นั้น Segnale มักจะเป็นเป้าแรกในการโดนรุมฆาตกรรมเสมอ เพราะฉะนั้น การที่เรามีสเตตัส Heal ที่มากพอ นั่นก็จะหมายความว่าตัวเรามีพลังป้องกันที่สูง และเลือดที่เยอะ ซึ่งจะเหมาะสมกับ Segnale สายนี้เป็นอย่างมาก

Tip สำหรับ Segnale ที่อัพสเตตัสแบบ Dex Spr ให้ใส่อาวุธได้ และที่เหลือลง Heal นั้น ในช่วงแรกให้อัพสกิลสาย Heal โดยให้อัพ Wound Healing หรือ Self Heal สลับกับสกิลโจมตีสาย Blood เพื่อความสะดวกในการเก็บเลเวล และพอมีเลเวลประมาณ 60 ค่อยมีรีเซ็ทสกิลกับ NPC เพื่อกลับไปเล่นสาย Heal แบบเต็มตัวอีกครั้ง

***หมายเหตุ ถ้าต้องการเล่นมาเพื่อ Support ปาร์ตี้โดยเฉพาะ แนะนำให้เล่นสาย Heal&Spr ไปเลย โดยการเก็บเลเวลส่วนใหญ่นั้นให้อาศัยการดูดเพื่อนไปเรื่อยๆ เพราะช่วงเลเวลที่แชร์กันได้นั้น กว้างมากกกกกก

ดังนั้นในช่วงแรกๆ เราอาจจะต้องอดทนกับการเก็บเลเวลไปก่อน เพราะกว่าเราจะมีสกิลบัฟที่ใช้ได้ผลจริงๆ ก็เลเวลปาไป 40 แล้ว แต่เมื่อเรามีสกิลบัฟแบบเดี่ยวครบเมื่อไหร่ เราก็ออกล่าหาปาร์ตี้และดูดเพื่อนยาวๆ ได้เลย แต่การจะลงดันโหดๆ และเคลียร์เองได้นั้นคงเป็นเรื่องที่ยากเกินไปสำหรับสาย Heal&Spr แต่สาย Dex&Spr นั้นอาจจะต้องใช้เวลากับเลเวลที่มากหน่อย

สกิลจำเป็น

สกิลสายฟื้นฟู

Healing Mastery - เพิ่มความสามารถในการฟื้นฟู MP เมื่ออัพเต็มเลเวล 5 จะฟื้นฟู MP 250 ต่อวินาที
Wound Healing - ฟื้นฟู HP ของเป้าหมาย 1 คน เมื่ออัพเต็มเลเวล 10 จะฟื้น HP ได้ 2344 หน่วย มี Cooldown 3 วินาที
Hyper Heal - ฟื้นฟู HP ของสมาชิกในปาร์ตี้ ในระยะใกล้ๆ ตัวเรา เมื่ออัพเต็มเลเวล 10 จะฟื้น HP ได้ 4254 หน่วย มี Cooldown 5 วินาที
Recover - ชุบชีวิตเป้าหมาย 1 คน โดยเมื่ออัพเต็มเลเวล 5 เมื่อฟื้นขึ้นมาจะไม่มีค่าสเตตัสใดที่ติดลบเลย Cooldown 5 นาที
Fast Healing - ฟื้นฟู HP ของเป้าหมาย 1 คน เมื่ออัพเต็มเลเวล 10 จะฟื้น HP ได้ 2798 และจะฟื้น HP ให้ 307.8 หน่วย ทุกวินาที เป็นระยะเวลา 90 วินาที

สกิลบัฟแบบเดี่ยว

Dark Circle - เมื่อเราโจมตีใส่ศัตรูจะเป็นการเพิ่มความแรงให้เมื่อศัตรูโดนสกิลประเภท Curse Attackเมื่อเลเวล 10 จะโจมตีเป็น Curse Attack + 7% และจะทำการลด MP เป้าหมาย 20 หน่วยในทุกๆ วินาทีเป็นเวลา 55 วิ ( เหมาะสำหรับ Segnale สาย Blood และสกิลที่มีผลดีบัฟทั้งหลาย )
Rising guard - เพิ่ม Guard Rate เมื่ออัพเต็มเลเวล 5 จเพิ่ม Guard Rate 25% เป็นเวลา 240 วินาที
Magic Shield - เพิ่ม Def ให้แก่เป้าหมาย โดยเมื่ออัพเต็มจะเพิ่ม Def ให้ 109, 45
Increase attack - เพิ่มพลังโจมตีทางกายภาพ และพลังโจมตีเวทย์มนต์ โดยเมื่ออัพเต็มเลเวล 10 จะเพิ่ม Atk 10% และ Magic ATK 8%

สกิลบัฟแบบปาร์ตี้

Great Guard - เพิ่ม Block Rate ให้แก่สมาชิกในปาร์ตี้ โดยเมื่ออัพเต็มเลเวล 5 จะเพิ่ม 25% เป็นเวลา 210 วินาที
Divine Shield - เพิ่ม Def ให้แก่สมาชิกในปาร์ตี้ โดยเมื่ออัพเต็มเลเวล 5 จะเพิ่ม Def ให้ 87 และ 5%
Amazing Attack - เพิ่ม Atk และ Magic Atk สมาชิกในปาร์ตี้ โดยเมื่ออัพเต็มเลเวล 5 จะเพิ่ม Atk 7% และ Magic Atk 6%

ยืนใกล้ๆ แล้วกดไปเลย Hyper Heal !!

ความแตกต่างของสกิลซัพพอร์ท

สำหรับ Segnale นั้นสกิลบัฟจะถูกแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือแบบเป้าหมายเดี่ยว และแบบปาร์ตี้ ซึ่งคุณสมบัติของสกิลซัพพอร์ทของทั้ง 2 แบบจะแตกต่างกันคือ สกิลบัฟแบบเป้าหมายเดี่ยวจะมีคุณสมบัติดีกว่าสกิลบัฟแบบปาร์ตี้ อย่างเช่น สกิลเพิ่มพลังโจมตีอย่างสกิล Amazing Attack ที่เป็นสกิลบัฟแบบปาร์ตี้นั้นเ มื่ออัพจนเลเวลเต็มจะเพิ่มพลังโจมตีได้ 7% และเพิ่มพลังโจมตีเวทย์ได้ 6% ซึ่งเมื่อเทียบกับสกิล Increase Attack ที่เป็นสกิลบัฟแบบเป้าหมายเดียว ที่เมื่อเราอัพจนเต็ม จะเพิ่มพลังโจมตี 10% พลังโจมตีเวทย์ 8% เป็นต้น

ซึ่งข้อดีข้อเสียของสกิลบัฟของทั้ง 2 แบบจะมีดังนี้

ข้อดีของสกิลบัฟแบบเป้าหมายเดี่ยว

♦เพิ่มความสามารถด้านต่างๆ ได้มากกว่า
♦ระยะเวลาคงอยู่ของสกิลนานกว่า
♦มีประโยชน์มากในการ PVP ทั้งแบบเดี่ยวและปาร์ตี้ ( ในกรณีที่จำนวนคนมีแค่ 1-3 )
♦สามารถใช้ประโยชน์ได้ตั้งแต่เลเวลแรกๆ

ข้อเสียของสกิลบัฟแบบเป้าหมายเดี่ยว

♦ไม่เหมาะสำหรับการลุยแบบปาร์ตี้ ( ในกรณีที่คนเยอะๆ เพราะ Cooldown ของแต่ละสกิลนั้นนานพอสมควร )
♦เปลือง MP มากๆ ถ้าไปปาร์ตี้แบบหลายๆ คน
♦ไม่เหมาะในเวลากิลวอร์ และการลุยดันเจี้ยนแบบคนเยอะๆ
♦ควบคุมระยะเวลาผลของสกิลลำบาก เพราะ Cooldown ของแต่ละสกิลนั้นไม่เท่ากัน

ข้อดีของสกิลบัฟแบบปาร์ตี้

♦จะมีประโยชน์มากในเวลากิลวอร์ หรือลงดันเจี้ยนแบบหลายๆ คน เพราะกดใช้สกิลแค่ครั้งเดียวก็ได้รับผลสกิลกันทั้งหน้าจอ
♦ประหยัด MP เป็นอย่างมาก
♦สามารถควบคุมระยะเวลาของผลสกิลได้ดีกว่า ซึ่งเมื่อผลของสกิลบัฟตัวเราหมด นั่นก็หมายความว่าเพื่อนเราบัฟสกิลบัฟก็หมดเช่นกัน

ข้อเสียของสกิลบัฟแบบปาร์ตี้

♦มีประโยชน์น้อยมากในการ PVP แบบปาร์ตี้ ในกรณีที่สู้กันแบบ 2-2,3-3นอกจากจะเอามาฮีลอย่างเดียว
♦Cooldown ของสกิลนานมาก
♦กว่าจะได้ใช้สกิลบัฟปาร์ตี้ได้ครบ เลเวลก็ปาไป 60 แล้ว >.<

หลักการอัพสกิล

ในช่วงแรกให้เราอัพสกิล Healing Mastery และ Wound Healing สลับกันไปจนเต็ม จากนั้นพอเราเลเวล 29 ให้หันไปอัพสกิล Hyper Heal สลับกับสกิลบัฟแบบเดี่ยวเพื่อที่จะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จริงๆ ก่อน โดยให้เราเลือกอัพจากสกิลบัฟที่เราคิดว่าจำเป็นก่อนให้เต็มเป็นสกิลๆ ไป ( อัพ Hyper Heal ทุกครั้งที่สามารถอัพได้ ) และพอเลเวล 42 ให้เราเริ่มอัพ Recover เพื่อที่จะสามารถชุบชีวิตเพื่อนได้ และเมื่อเราเลเวล 45 เราก็จะสามารถใช้สกิล Fast Healing ที่เป็นสกิลฮีลที่ดีที่สุดได้ แต่ Fast Healing Lv1 นั้นจะฮีลเบามากเมื่อเทียบกับ Wound Healing Lv 10 และยังกิน MP มากกว่าอีกด้วย ซึ่ง Fast Healing นั้นจะสามารถใช้ประโยชน์ได้จริงก็ต่อเมื่อเราอัพจนถึงเลเวล 5 แล้ว

จากนั้นให้เราเริ่มหันมาอัพสกิลซัพพอร์ทอื่นๆ ให้เต็ม และพอถึงช่วงเลเวล 80 - 90 จึงค่อยข้ามสายมาอัพสกิลสาย Curse

จุดเปลี่ยนสายระหว่างสายบัฟเดี่ยวและบัฟปาร์ตี้

เมื่อเราเลเวล 60 เราจะมีสกิลบัฟแบบปาร์ตี้ครบหมดทุกแบบ ซึ่งถ้าเราต้องการเล่นแบบบัฟปาร์ตี้ก็สามารถที่จะรีสกิลและเอาพ้อยของสกิลบัฟเดี่ยวที่เคยอัพมาทั้งหมด เอามาลงให้กับสกิลบัฟแบบปาร์ตี้ ซึ่งในช่วงเลเวลตั้งแต่ 60 ขึ้นไป การเล่นแบบปาร์ตี้จะจำเป็นมากขึ้น ดังนั้นถ้าอยากจะเปลี่ยนมาเล่นแบบบัฟตี้ก็ควรจะเป็นเวลานี้แหละครับ

***หมายเหตุ ในช่วงแรกของการข้ามสายระหว่างบัฟเดี่ยวมาบัฟตี้นั้น จะทำให้คุณสมบัติของสกิลบัฟหลายๆ อย่างของเราลดลง ดังนั้นก่อนรีสกิลจึงควรจะตัดสินใจให้ดีก่อน ซึ่งช่วงเลเวลที่ดีที่สุดในการรีสกิลจะเป็นช่วงเลเวล 60-78เพราะเมื่อเราเลเวล 60 เราจะมีสกิลบัฟตี้ครบทุกชนิด แต่จะเป็นสกิลที่เลเวลน้อยมาก ใช้ประโยชน์จริงๆ ไม่ค่อยได้ แต่ถ้าเป็นเลเวล 78 ขึ้นไป สกิลบัฟตี้ทั้งหมดจะสามารถแสดงประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่

มากันเยอะๆ แบบนี้เล่นสาย บัฟตี้ดีกว่า

การอัพสกิลแบบสาย Full Heal

คือสายการเล่นที่เน้นอัพสกิลสาย Heal ให้ครบทุกสกิล โดยไม่เกี่ยงว่าจะอัพสกิลบัฟแบบตี้หรือแบบเดี่ยว ซึ่ง Segnale สายนี้จะเป็นสายที่เหมาะจะเป็นตัวซัพพอร์ทในทุกสถานการณ์ ซึ่งกว่าสกิลสาย Heal จะเต็มทุกสกิลนั้นเลเวลตัวละครของเราก็จะตกอยู่ประมาณเลเวล 90 ซึ่งหลังจากเลเวล 90 แล้วเราก็สามารถที่จะข้ามสายไปอัพสกิลสาย Curse เพิ่มได้

การข้ามสายไปอัพสกิลสาย Curse

ในช่วงแรกนั้น ให้เราเน้นอัพสกิลสาย Heal ให้เต็มทุกสกิลก่อน จนถึงช่วงเลเวล 80-90 เราจะเริ่มสามารถอัพสกิลสาย Curse ได้อย่างเต็มที่ โดยให้เราเริ่มอัพจาก Curse Mastery ให้เต็ม 10 ก่อนจากนั้นให้หันไปอัพสกิล Paralyze ที่มีประโยชน์มากๆ ในการ PVP และ กิลวอร์ จากนั้นให้เพื่อนๆ เลือกว่าจะใช้สกิล Curse อันไหนเป็นหลักจาก 3 สกิล แล้วก็ให้เน้นไปที่การอัพสกิลนั้นจนเต็ม แล้วจึงค่อยหันไปอัพสกิล Curse ชนิดอื่น ( แนะนำให้อัพ Diminish ถัดจาก Paralyze เพราะ Diminish จะสามารถใช้ได้ในหลายๆ โอกาสมากกว่า )

Healing Tip

♦เราสามารถที่จะใช้สกิล Wound Healing และ Fast Healing สลับกันได้ในกรณีที่ Cooldown ยังไม่หมด
♦Fast Healing ถึงจะฮีลได้มากกว่า Wound Healing ก็จริง แต่ก็กิน MP มากกว่าถึง 5 เท่า ดังนั้น ถ้าไม่จำเป็น ก็อย่าใช้ Fast Healing เลยจะดีกว่า
♦ทุกครั้งที่สามารถอัพ Hyper Heal ได้ ให้อัพ Hyper Heal ให้เต็มก่อนเป็นสกิลแรก
♦พยายามอยู่เกาะกลุ่มกับเพื่อนๆ เอาไว้ เพื่อที่ทุกคนจะได้รับผลของบัฟปาร์ตี้และ Hyper Heal ได้ครบทุกคน
♦เตือนเพื่อนๆ ในปาร์ตี้เสมอว่าอย่าสดมาก เพราะ Cooldown ของ Recover นั้นนานถึง 5 นาที ( ถ้าตาย 3 คนก็รอไป 10 นาทีกว่าจะชุบได้ - -' )
♦กด Z เพื่อเป็นการสลับไปใช้ Short Cut หน้าที่ 2 ในกรณีที่มีสกิลให้ใช้เยอะมากมาย


ที่มา http://www.online-station.net/

0 เพิ่มความคิดเห็น: